วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ : ดื่มน้ำตอนไหนดีที่สุด [DRINK TIME ]


ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน วันนี้เรามีเรื่องนี้มาฝาก...
     - ตื่นนอนตอนเช้า แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ     - ตอนสาย ๆ แก้ว (เวลาประมาณ โมงถึง 10โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป
     - ตอนบ่าย ๆ แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)     - ตอนเย็น แก้ว (เวลาประมาณ ทุ่มถึง ทุ่ม)
- ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
     การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี.



วางแผนใช้โบนัสอย่างไรมีสติ


คาดว่า ป่านนี้ หลายๆคนคงจะได้รับโบนัส กันไปแล้ว บางคนอาจจะใช้ทันที (จนหมดเกลี้ยงงงงง)
บางคนอาจจะยังคิดๆอยู่ว่าจะทำอะไรดี

(โบนัสจะได้ไม่ได้ จะมากหรือน้อย แล้วแต่นโยบายบริษัทแต่ละที่นะครับซึ่งไม่เหมือนกัน)
 วางแผนใช้โบนัสอย่างไรมีสติ
วางแผนใช้โบนัสอย่างไรมีสติ

K-Expert มีข้อแนะนำง่ายๆสำหรับการใช้โบนัสครับ
1.       เคลียร์เงินกู้ ดอกเบี้ยสูงก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น เงินกู้ส่วนตัว (personal loan) เงินค้างบัตรเครดิต (credit card loan) กู้นอกระบบ ซึ่งเงินส่วนนี้อันตรายมาก เผลอๆพอกพูนไม่รู้ตัว
2.       ถ้ามีการกู้รถกู้บ้าน และกู้รถ ที่เขา (หมายถึง ธนาคารน่ะแหละ) ยอมให้เรา “โปะ” เพื่อให้ยอดเงินต้นลดลง ก็น่าสนใจนะครับ (ดอกเบี้ยจะได้ลดลงไงครับ แต่เรื่องนี้ต้องปรึกษาธนาคารก่อนนะครับ)
3.       ถ้าพอมีเหลือก็ เก็บเงินออมไว้บ้าง โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีครอบครัวแล้ว
4.       สุดท้าย ก็ปรนเปรอตนเองซะบ้าง หลักการง่ายๆคือ นำ 15% มาใช้ซื้อของที่ต้องการ หรือใช้เที่ยวหาแรงบันดาลใจ ซึ่งควรจะเป็นสิ่งที่คุณภูมิใจ และทำให้คุณได้รับกำลังใจในการสู้งานต่อไป (เพื่อโบนัสก้อนต่อไปครับ:)
หลักการนี้ยังเป็นหลักการบริหารเงินที่คุณสามารถนำไปใช้กับลาภลอยทั่วๆไปได้ด้วยล่ะครับ เช่น ถูกรางวัลฉลาก ถูกรางวัลล็อตเตอรี่ ได้อั่งเปาก้อนโตๆ (ขอให้รวยๆนะครับ)
ที่มา: MTHAI

อ๊อกซิโตซิน "ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน" มันคืออะไร ??




เคยมั้ย…ที่อยู่ดีๆ ก็รู้สึกผูกพันกับใครก็ไม่รู้จัก หรือเพียงเห็นหน้าแค่เพียงแว๊บเดียว ก็รู้สึกว่านี่แหละใช่เลย!!

เคยมั้ย…ที่ตกหลุมรักใครสักคนเป็นเวลานานแสนนาน  ไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แค่จะไม่ได้คบกันก็ตาม

และเคยมั้ย…เมื่อมีกิจกรรมทางเพศกันไปแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกยึดติด และสนิทกันมากขึ้น
หลายคนอาจเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้กันมาบ้าง แต่ก็หาเหตุผลไม่เจอว่ามันเป็นเพราะอะไร มาไขข้อสงสัยนี้ กับ อ๊อกซิโตซิน ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน

อ๊อกซิโตซิน นั้นถูกสังเคราะห์โดยเซลล์ที่ชื่อ magnocellular neurosecretory cells ที่อยู่ในกลุ่มของเซลล์ประสาทที่ชื่อว่า supraoptic nucleus และ paraventricular nucleus ของสมองส่วนไฮโปธาลามัส นอกจากออกฤทธิ์เป็น สารสื่อประสาทแล้ว ยังถูกส่งไปยัง ต่อมพิธูอิตารีเพื่อหลั่งสู่กระแสเลือดจากต่อมพิธูอิตารีไปทำหน้าที่ในอวัยวะที่อยู่ห่างไกล ซึ่งเราจัดว่าเป็นคุณสมบัติของฮอร์โมน (neurohypophyseal hormone) อ๊อกซิโตซินมีบทบาทสำคัญในหลายอวัยวะโดยเฉพาะในสามส่วนหลัก คือ ไฮโปธาลามัส ต่อมพิธูอิตารี (pituitary gland) และต่อมหมวกไต ที่เรียกว่า hypothalamic pituitary adrenal (HPA) axis

ซึ่งปัจจุบันนี้มีการศึกษาวิจัย เรื่องประสาทวิทยาของต่อมไร้ท่อมาเป็นเวลาช้านานถึงบทบาทในด้าน ความผูกพันทางสังคม (social attachments) และความรัก ทำหน้าที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสืบพันธุ์ ทำให้รู้สึกว่ามีความปลอดภัย รวมทั้งยังช่วยลดความกังวลและความเครียดได้อีกทาง

อ๊อกซิโตซิน ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน รูปที่ 2

อ๊อกซิโตซิน: ออกฤทธิ์เป็นฮอร์โมนภายนอกสมอง
เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ โดยพบว่าช่วงระยะจุดสุดยอดของการมีเพศสัมพันธ์ (orgasm) มีปริมาณอ๊อกซิโตซินในเลือดสูงขึ้น และยังเชื่อว่ามีส่วนช่วยลำเลียงอสุจิในระหว่างการหลั่งน้ำเชื้อ (ejaculation) ของผู้ชายอีกด้วย

อ๊อกซิโตซิน: ออกฤทธิ์เป็นฮอร์โมนภายในสมอง
อ๊อกซิโตซินสร้างความตื่นตัวทางเพศ พบว่าถ้าฉีดอ๊อกซิโตซินเขาไปในน้ำเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid) ของเจ้าหนูทำให้อวัยวะเพศตั้งตัวขึ้นได้เอง (spontaneous erection)

อ๊อกซิโตซินมีผลต่อการการจับคู่
ในสมองของผู้หญิงหลั่งอ๊อกซิโตซินเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีกิจกรรมทางเพศ และทำให้เขาปักใจรักเดียว ใจเดียวกับคู่ขาคนนั้น และยังพบว่าระดับของอ๊อกซิโตซินในเลือดสูงขึ้นในคนที่กำลังตกหลุมรักอีกด้วย

ความรู้สึกถวิลหา อยากอยู่ด้วยแบบใกล้ชิดนี่คงจะอยู่เป็นส่วนหนึ่งของอ๊อกซิโตซิน  ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน ด้วยสินะ??

ขอบคุณบทความดีๆ จาก
ครีมกันแดดผู้ชาย ทดลองแล้วเอาอยู่หรือเอาไม่อยู่ รูปที่ 2
www.gmlive.com

6 วิธีประหยัดแบต iPhone 5


1. Disable as many notifications as possible.


Save Battery Life

ยกเลิกนโยบายแจ้งเตือนทุกอย่าง ไม่ต้องป๊อปอัพเด้งมาตอนนี้ ดาวไม่ต้องการ เข้าไป Settings > Notifications >Manually กำหนดการแจ้งเตือนเช่น  Phone, Messages, Reminders หรือแอพอื่นๆ ใน Notification Center เปลี่ยนให้เป็น Off

2. Turn off Location Services.


Save Battery Life

ปิดบรรดาโลเคชั่นเซอร์วิสต่างๆ หยุดความคิดที่จะเช็คอินให้โลกรู้ว่า คุณได้เหยียบมาถึงดอนหอยหลอดเอาไว้ก่อน เข้าไป Settings > Location Services เปลี่ยนแท็บ On/Off ของบรรดา Location Services ให้เป็น Off


3. Check for email manually.


Save Battery Life
มาแดนคันทรี่ทั้งที อย่ามัวปล่อยให้เมลล์ หมายต่างๆ บางครั้งเป็นงาน เด้งมากวนหัวใจ เข้าไป Settings > Mail, Contacts, Calendars > Fetch New Data, เปลี่ยน Push เมลล์ ให้เป็น Off และตั้งระบบแจ้งเตือน Fetch ให้เป็น Manually
 

4. Watch your signal strength indicator.


Save Battery Life

กรณีเข้าถึงแดนป่าสนทยาแดง ก็เตรียมใจไว้หน่อยว่าโอเปอร์เตอร์ท่านคงไม่หักโหมเข้าไปปลูกเสาสัญญาณแถวๆ นั้น ทำใจนิดนึง ถ้าอยากรักษาเศษแบตไว้เผื่อติดต่อฉุกเฉิน ก้มมองสัญญาณสักนิด
ถ้ามันไม่มีสัญญาณก็ปิดเครื่องไปก่อนก็ ได้ เพราะเวลาที่ไม่มีสัญญาณ แล้วไอโฟนมันจะพยายามหาคลื่น ซึ่งจุดนี้เหมือนการสตาร์ทเครื่องรถ กระชากปึกๆ ไปพร้อมพลังงานในแบต ดูดแหลกๆ !!

5. The old power-saving standbys still help.


Save Battery Life

รวมมิตรวิธีเดิม ซึ่งก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน คือ disable ทั้ง Wi-Fi,Bluetooh ,3G , iCloud , Airplane Mode แล้วปรับ brightness ในแบบที่ไม่ต้องสว่างมาก แต่ก็อย่าถึงกับมองไม่เห็น แต่ก็นะ จอ Retina Display ก็สว่างไสวดีอยู่แล้วนะ !!


6. Consider a battery case or an add-on battery.


Save Battery Life
 
หาเคสแบตเสริมสำหรับไอโฟนมาใช้ซะ  อันละไม่กี่ร้อยหร๊อกกก แหะๆ  !!  ^^”


5 วัฒนธรรม การอาบน้ำที่แปลกที่สุด


5 วัฒนธรรม การอาบน้ำที่แปลกที่สุด

สำหรับบางคน การอาบน้ำ เป็นเรื่องที่ขี้เกียจที่สุด ขณะที่บางคนก็ขยันสรรหา จนอาบน้ำเปล่าธรรมดาไม่ได้ เพราะมันไม่ชิลล์พอ อาบน้ำนมก็ดูจะเบสิก จึงต้องหาน้ำที่ทำให้ผิวพรรณกระดิก มีชีวิตชีวา กับ 5 วัฒนธรรม การอาบน้ำที่แปลกที่สุด 

การอาบน้ำที่แปลกที่สุด : Beer Bath


ผู้ที่รักการดื่มเบียร์ คงอยากจะทำตัวเพลียลง Beer Bath อาบเบียร์ กันให้ชุ่มปอด ทั้งซดทั้งแช่ เอาให้ซึมเข้ากระแสเลือดกันไปเลย การอาบเบียร์อาบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อ่อนกว่าวัย 

Petroleum Bath



หนึ่งในการอาบน้ำที่อันตรายที่สุด คือ การอาบน้ำมัน เพราะต้องแน่ใจว่าน้ำมันจะไม่เข้าจุดที่สำคัญ อย่าง ตา จมูก ปาก และที่วางใจไม่ได้ ต้องตรวจเช็คให้ถี่ถ้วนว่าใกล้กับบริเวณที่ อาบน้ำมัน ไม่มีวัตถุไวไฟต่างๆ วางไว้ ดูจะแสนอันตราย แต่ที่หลายคนกลั้นใจอาบก็เพราะเชื่อว่า การอาบน้ำมันช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคผิวหนังเนื่องจากมีกำมะถันเจือปน การอาบน้ำประหลาดนี้ให้บริการบำบัดที่ สถานพยาบาลใน Naftalan ประเทศอาเซอร์ไบจาน 

Tomato bath



การอาบมะเขือเทศ เป็นกิจกรรมฮิตในช่วงเทศกาลมะเขือเทศของ โคลอมเบีย เป็นวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียง โดยให้ผู้รักการกินมะเขือเทศได้ฉ่ำปอดกลางกองมะเขือยักษ์ ผสมปนเปกันเป็นน้ำผักสุดวิเศษ เทศกาล อาบมะเขือเทศ ก็เหมือนสงครามเล็กๆ หากไม่มีผู้ชนะก็คงไม่สนุก ห้ำหั่นกันด้วยอาวุธลูกกลม ที่สาดใส่กันด้วยรอยยิ้ม เล่นไป อาบไป กลางแม่น้ำมะเขือเทศ สุดแสนจะเป็นประโยชน์ 

 Red Wine Bath


ผู้หลงใหลในไวน์ สามารถแช่กาย อาบไวน์แดง ในบ่อน้ำพุร้อน แถบ Hakone Kowakien ประเทศญี่ปุ่น ข้อดีที่สุดของการ อาบไวน์ คือ ฉ่ำกาย ฉ่ำรสไวน์ ไปพร้อมกัน เด็กอาบได้ ผู้ใหญ่อาบดี ให้ความรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยให้ผิวเนียนใส เหมือนกลับมาวัยรุ่นอีกครั้ง 

Soil Bath



การอาบดิน เป็นวัฒนธรรมที่ได้รับการนิยมมากใน Kyushu ประเทศญี่ปุ่น การนอนฝังดินนั้นช่วยขับเหงื่อออกทั่วร่างกาย เป็นการพักผ่อนทั้งภายนอกและภายใน ให้ความรู้สึกสดชื่น การอาบดิน ถือเป็นการชาร์ตพลังที่ได้ผลดีอย่างหนึ่ง 






คลื่นมือถือ ทำลายสมองเด็ก มากกว่าที่คิด!!



หลังจากมีการแชร์ผลวิจัยของ Dr.Om Ghandhi ถึงผลกระทบจากคลื่นโทรศัพท์ ซึ่งมีผลต่อสมองของเด็กไปทั่วเฟซบุ๊ก และเว็บเพจต่างๆ ในขณะนี้นั้น ทาง Mthai ได้ตรวจเช็คเพิ่มเติม ว่าผลงานวิจัยของ Dr.Om Ghandhi ปี 1996 มีอยู่จริงหรือไม่ ก็พบว่า มีตัวตนและผลงานดังกล่าวอยู่จริง โดยได้กล่าวว่า คลื่นโทรศัพท์มือถือ ทะลุทะลวงสู่ชั้นสมองของเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

เนื่องจากกระโหลกศีรษะบางกว่า (ที่คนเฒ่าคนแก่ เรียกว่า กระหม่อมบาง) การทะลุทะลวงดังกล่าวสู่ชั้นสมอง ทำให้เกิดอาการ ปวดร้าวศีรษะได้ และเป็นไปได้ว่าทำให้เกิดการดัดแปลงระดับชั้นพันธุกรรม DNA และชั้น เซลส์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้

ทั้งนี้ Natural Health Strategies.com ได้แนะนำข้อควรระวังคือ

1. ห้ามเด็กใช้ โทรศัพท์มือถือ หรือใช้ให้น้อยที่สุด
2. โทรศัพท์บ้านไร้สาย ปล่อยคลื่น EMR (Electromagnetic Radiation) มากกว่าโทรศัพท์มือถือเสียอีก แม้ว่าจะวางอยู่เฉยๆ
3. ใช้โทรศัพท์บ้านปกติ ปลอดภัยที่สุด
4. คนมีครรภ์ ควรใช้ โทรศัพท์มือถือให้น้อยที่สุด
5. หูฟังที่มากับโทรศัพท์มือถือ ทางวิทยาศาสตร์ทำหน้าที่เป็นเสาอากาศ (สังเกตว่า เมื่อใช้สายหูฟังถึงจะฟังวิทยุได้) จึงเป็นตัวนำสัญญาณ EMR เข้าสู่สมองได้ ให้หลีกเลี่ยง
6. อย่าเหน็บ โทรศัพท์มือถือไว้ที่เอว เพราะเอวมีอวัยวะสำคัญๆที่ผลิตเม็ดเลือดแดงมากกว่า 80% ของทั้งร่างกาย
7. อย่าวาง โทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ศีรษะตลอดเวลา (บางคนชอบวางไว้ใกล้ๆ ระหว่างที่นอนหลับ)
8. หูฟังแบบพิเศษ Ferrite จะช่วยป้องกันคลื่นได้

โดยที่ได้มีกรณีศึกษาของเด็กที่ป่วย และสันนิษฐานว่าเกิดจากสาเหตุนี้

ส่วนชาวเน็ต ก็ช่วยแชร์ และป่าวประกาศว่า ไม่ควรให้เด็กพกมือถือเลย ไม่ควรติดสัญญาณ Wi-fi ในโรงเรียนด้วยซ้ำ และนโยบายแทบเบล็ตเด็ก ป.1 อาจจะเป็นตัวทำลายสมองของเด็กเสียก่อนที่จะให้เด็กได้เรียนรู้ แต่ทั้งนี้ในวิจัยดังกล่าวไม่ได้พูดถึงเรื่อง Wi-fi รวมอยู่ในสาเหตุด้วยแต่อย่างใด

ข้อมูลจาก FB@คุณ Leo Paul และ
www.radiation-robs-your-life.com/cell-phones-for-kids.html
ที่มา: http://news.mthai.com/general-news/217831.html